วันจันทร์, 6 พฤษภาคม 2567

ข้อเสนอแนะของประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน “รศ.เอกชัย กี่สุขพันธ์” กรณีการยุบ-เลิกโรงเรียนขนาดเล็ก”

เรียนผู้บริหาร ครู อาจารย์ นักการศึกษาและผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานทุกท่าน

ตามที่มีข่าวข้อเสนอแนะของ กพฐ เกี่ยวกับการยุบโรงเรียน ผมขออนุญาตชี้แจงให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจเกี่ยวกับการยุบโรงเรียนของ สพฐ ตรงกันนะครับ ข้อมูลที่ผมได้มาจาก กระทรวงศึกษาฯเมื่อปีที่แล้ว มีโรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศประมาณ 18,000 โรงเรียน (คิดเป็นประมาณ 50% ของโรงเรียนทั้งหมดทั่วประเทศครับ) สำหรับโรงเรียนบนเกาะ หรือ ชายขอบ หรือที่ทุรกันดารห่างไกลซึ่งจำเป็นต้องมีอยู่ คิดว่าไม่น่าจะอยู่ในโรงเรียนเป้าหมาย 15,000 โรงเรียนครับ การยุบ หรือใช้ว่าควบรวม(เพื่อไม่ให้เสียความรู้สึกหรือแรงต้าน) ก็ตามต่างมีเป้าหมายเพื่อคุณภาพการศึกษาของเยาวชนไทยทั้งสิ้น ผมเคยเสนอให้ สพฐใช้หลักSCC เมื่อปีที่แล้วคือ

Stand alone ใช้สำหรับโรงเรียนห่างไกลนักเรียนเดินทางมาเรียนลำบากมีความจำเป็นต้องเปิด ไม่ว่าจะมีนักเรียนกี่คนก็ไม่ควรปิด ในทางตรงกันข้าม สพฐ กลับต้องหาทางข่วยเหลือโดยอาจมีการสร้างเรือนพักนอน จัดสรรงบค่าอาหารให้ นักเรียนยากจนเหล่านี้ เพื่อจูงใจให้มีนักเรียนเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

Combined คือการควบรวมโรงเรียนใกล้กันที่สามารถทำได้และไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางของนักเรียนแต่อย่างใด อาจมีงบประมาณของสพฐ ช่วยเหลือค่าเดินทางหรือพื้นที่สามารถจะประสานงานกับ อบต อปท. ให้ความช่วยเหลือได้(เหมือนที่ขอความช่วยเหลือเรื่องอาหารเช้า อาหารกลางวันของเด็กในบางพื้นที่)

Closed คือโรงเรียนที่สมควรปิดหรือยุบครับเพราะนักเรียนน้อยมากและสามารถเดินทางไปเรียนที่โรงเรียนใกล้เคียงโดยไม่เดือดร้อนมากนัก ซึ่งต้องแก้ระเบียบ ประกาศ ที่เป็นอุปสรรคทั้งหลายครับ เพราะมีหลายโรงเรียนอยู่ในกรณีนี้ แต่ไม่ยอมยุบตัวเองครับแล้วใช้ระเบียบ ประกาศเก่าๆเมื่อสิบหรือยี่สิบปีที่แล้วมาใช้เป็นข้ออ้าง(จึงได้ขอให้สพฐ ไปทบทวนระเบียบปฏิบัติ คำสั่งเก่าๆที่เป็นอุปสรรคทั้งหมด) หาเหตุที่จะไม่ยอมปิดโรงเรียนทั้งๆที่บางห้องมีนักเรียน 2-4 คน แล้วคุณภาพของการเรียนการสอนนักเรียนจะดีขึ้นได้อย่างไร

กระทรวงศึกษาธิการได้รับรายงายการวิจัยของธนาคารโลกเมื่อต้นปีนี้เกี่ยวกับประสิทธิภาพการใช้งบประมาณแผ่นดินด้านการศึกษาและคุณภาพการศึกษาที่เกิดขึ้นจากการใช้งบประมาณที่ได้รับ แล้วพบว่าใช้งบประมาณมากขึ้นแต่คุณภาพการศึกษาของเยาวชนไทยไม่ได้ดีขึ้นตามงบประมาณที่ได้รับอย่างชัดเจน มีข้อเสนอแนะในเรื่องการยุบโรงเรียน ยุบชั้นเรียน และต้องจัดให้มีครูครบขั้นทุกโรงเรียนขณะเดียวกันก็จะเป็นการเพิ่มสัดส่วนนักเรียนต่อห้องให้มากขึ้นเพื่อประสิทธิภาพการใช้งบประมาณและคุณภาพศึกษาของเยาวชน

ถ้าสังคมไทย คนไทยไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริงด้วยเหตุผล และข้อมูล มัวแต่รักษาหน้า และใช้ความรู้สึกมากกว่าความจริงและไม่ยอมรับเหตุผลที่ดีกว่า จะแก้ปัญหายากครับ การใช้คำว่ายุบ อาจเสียความรู้สึก จึงใช้คำว่าควบรวมผมก็เคยใช้คำนี้เช่นกัน จากการลงพื้นที่พบว่าโรงเรียนขนาดเล็กใกล้กันสองโรงเรียนในจังหวัดหนึ่งมีนักเรียนรวมกันทั้งสองโรงเรียนไม่ถึง 100 คน นักเรียนเดินทางมาทั้งสองโรงเรียนได้สะดวกไม่ถึง 5 นาที แต่โรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่งไม่ยอมยุบตัวเอง กลับใช้วิธีควบรวมนักเรียนนักเรียนป 1,2,3 ของโรงเรียนหนึ่งไปเรียนกับอีกโรงเรียนหนึ่ง และนำนักเรียนป 4,5,6 ของอีกโรงเรียนหนึ่งมาเรียนรวมกับอีกโรงเรียนหนึ่งเช่นกัน ทั้งๆที่สามารถยุบโรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่งได้แต่กลับใช้ควบรวม นำนักเรียนมาเรียนรวมกัน(นี่คือตัวอย่างที่ได้เห็นของจริงมาแล้วครับ) และอ้างว่าชุมชนไม่ยอมให้ยุบ (ความจริงบางสถานศึกษาผู้บริหารไปให้ข้อมูลกับชุมชนในทำนองอย่ายุบโรงเรียน)

หากเราสามารถยุบโรงเรียนใดได้แล้วนำสถานที่ให้ กศน. ใช้ หรือ อบต. ใช้เป็นศูนย์กลางพัฒนาคุณภาพชีวิตหรือส่งเสริมอาชีพชุมชน ชาวบ้านในชุมชนก็จะมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นครับ

อนึ่งอำนาจการยุบ เลิกโรงเรียนเป็นของเขตพื้นที่และศึกษาจังหวัดไม่ใช่ของ กพฐ โดยตรงครับ แต่หาก กพฐ ได้รับทราบผลการวิจัยของธนาคารโลกซึ่งใช้งบประมาณไปมากพอสมควร แล้วไม่นำผลการวิจัย มาทำเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายให้ สพฐ เขตพื้นที่ หรือศึกษาจังหวัดพิจารณานำไปสู่การปฏิบัติเหมือนงานวิจัยการศึกษาอื่นๆ ที่ผ่านมา เราจะสร้างคุณภาพการศึกษาของเยาวชนไทยในอนาคตให้ดีขึ้นได้อย่างไร

เอกชัย กี่สุขพันธ์
ประธาน กพฐ
๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒